ภัควดี วีระภาสพงษ์เก็บความจาก
Saul Alinsky, Rules For Radicals
ซอว์ อลินสกี้ นักจัดตั้งชุมชนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ Rules for Radicals: A Pragmatic Primer for Realistic Radicals (1971) ว่าด้วยศิลปะของการเผชิญหน้าและการประนีประนอมในงานจัดตั้งชุมชนซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
ที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Saul_Alinsky)
“ถ้าประชาชนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง ประชาชนก็จะไม่ครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อไรที่ประชาชนมีการจัดตั้ง เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง ประชาชนจะเริ่มคิดและแสวงหาวิธีการเปลี่ยนแปลง”
ว่าด้วยเป้าหมายกับวิธีการ
- “เป้าหมายตัดสินวิธีการหรือไม่?” เป็นคำถามที่ไร้ความหมาย คำถามที่ถูกต้องคือ “เป้าหมายนี้ ตัดสินวิธีการนี้หรือเปล่า?”
- นักปฏิบัติการมองเป้าหมายและวิธีการในมุมมองของภาคปฏิบัติและยุทธศาสตร์เท่านั้น
- เกอเธ่กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “มโนธรรมคือคุณธรรมของผู้สังเกตการณ์ หาใช่คุณธรรมของผู้ปฏิบัติการไม่”
- เราปฏิบัติการเพื่อความดีของส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้นส่วนบุคคล นักปฏิบัติการจึงต้องพร้อม “แปดเปื้อน” เพื่อส่วนรวม
- นักศีลธรรมที่หมกมุ่นเรื่องเป้าหมายกับวิธีการ ลงท้ายแล้วก็มีแต่เป้าหมาย แต่ไม่เคยมีวิธีการ นักศีลธรรมที่เอาแต่วิจารณ์วิธีการที่ผู้ถูกกดขี่ใช้ต่อสู้กับผู้กดขี่ นักศีลธรรมผู้นั้นคือพันธมิตรของผู้กดขี่
- กฎข้อที่ 1 ของเป้าหมายกับวิธีการ จริยธรรมของเป้าหมายกับวิธีการผกผันตามความสนใจส่วนตัวที่คนผู้นั้นมีต่อประเด็นนั้นๆ กล่าวคือเมื่อเราไม่แยแสมัน เราก็มีศีลธรรมล้นปรี่
- กฎข้อที่ 2 ของเป้าหมายกับวิธีการ การตัดสินจริยธรรมของวิธีการขึ้นอยู่กับจุดยืนทางการเมืองของผู้ตัดสิน เช่น กรณีถกเถียงเกี่ยวกับการประท้วงด้วยการเทเลือดของคนเสื้อแดง
- กฎข้อที่ 3 ของเป้าหมายกับวิธีการ ในสงครามเป้าหมายทำให้เกือบทุกวิธีการมีความชอบธรรม
- กฎข้อที่ 4 ของเป้าหมายกับวิธีการ การตัดสินต้องกระทำในบริบทของห้วงเวลานั้นๆที่การปฏิบัติการเกิดขึ้นไม่ใช่จากหอคอยงาช้างในห้วงเวลาอื่น
- กฎข้อที่ 5 ของเป้าหมายกับวิธีการ การคำนึงถึงจริยธรรมย่อมมีมากขึ้นในกรณีที่มีทางเลือกของวิธีการจำนวนมากและย่อมน้อยลงเมื่อมีทางเลือกน้อย เราคำนึงถึงจริยธรรมเมื่อต้องเลือกระหว่างวิธีการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพเท่ากัน แต่หากเราไม่มีทางเลือกฟุ่มเฟือย การคำนึงถึงจริยธรรมย่อมไม่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญคือทบทวนให้แน่ใจว่าเรามีทางเลือกทางเดียวจริงๆ หรือเปล่า
- กฎข้อที่ 6 ของเป้าหมายกับวิธีการ ยิ่งเป้าหมายที่ต้องการมีความสำคัญน้อยเท่าไรเราก็สามารถคำนึงถึงจริยธรรมของวิธีการได้มากเท่านั้น
- กฎข้อที่ 7 ของเป้าหมายกับวิธีการ โดยทั่วไปแล้วความสำเร็จหรือล้มเหลวคือตัวชี้วัดจริยธรรมขั้นเด็ดขาด ประวัติศาสตร์มักตัดสินจากความสำเร็จหรือล้มเหลว และนี่คือเส้นแบ่งระหว่างคนทรยศกับวีรบุรุษ ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าคนทรยศที่ประสบความสำเร็จเพราะถ้าเขาประสบความสำเร็จเขาก็กลายเป็นวีรบุรุษ
- กฎข้อที่ 8 ของเป้าหมายกับวิธีการ ศีลธรรมของวิธีการขึ้นอยู่กับว่าวิธีการนั้นถูกนำมาใช้ในห้วงเวลาที่ใกล้จะแพ้หรือใกล้จะชนะ วิธีการเดียวกัน หากใช้ในยามที่เกือบจะชนะอยู่แล้ว อาจถูกตัดสินว่าไร้ศีลธรรม แต่หากนำมันมาใช้ในยามใกล้แพ้ คำถามเรื่องศีลธรรมก็จะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิมาในยามใกล้ชนะ เป็นต้น
- กฎข้อที่ 9 ของเป้าหมายกับวิธีการ วิธีการที่มีประสิทธิภาพใดๆย่อมถูกฝ่ายตรงข้ามตัดสินว่าไร้จริยธรรมโดยอัตโนมัติ
- กฎข้อที่ 10 ของเป้าหมายกับวิธีการจงทำสิ่งที่ทำได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่และปกคลุมมันด้วยอาภรณ์ของศีลธรรมยกตัวอย่างเช่น มหาตมะคานธีก็เคยใคร่ครวญเรื่องการใช้อาวุธต่อสู้กับอังกฤษ แต่เมื่อเขาเห็นแต่ทางแพ้ เขาก็หันมาใช้วิธีการไม่จับอาวุธและเรียกมันว่า “สัตยาเคราะห์” แต่หากเปลี่ยนตัวศัตรู วิธีการแบบคานธีอาจใช้ไม่ได้ผลเลย เช่น หากต่อสู้กับนาซี เป็นต้น
- ยอร์จ ออร์เวลล์เคยตั้งข้อสังเกตถึงคานธีว่า “…..เขาเชื่อใน “การปลุกโลกให้ตื่น” ซึ่งมันเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อโลกมีโอกาสได้ยินยลสิ่งที่คุณทำ มันยากที่จะวาดภาพว่าวิธีการของคานธีสามารถเอามาประยุกต์ใช้ในประเทศที่ผู้ต่อต้านระบอบหายตัวไปกลางดึกและไม่มีใครได้ยินเสียงเขาอีกเลย หากปราศจากเสรีภาพของสื่อและสิทธิในการชุมนุม มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดขบวนการมวลชนขึ้นมา ไม่ใช่แค่ส่งเสียงอุทธรณ์ต่อความคิดเห็นจากภายนอกเท่านั้น กระทั่งทำให้เจตนาของคุณเป็นที่รับรู้ของศัตรูก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
- สิ่งที่ทำให้คานธีประสบความสำเร็จคือใช้สิ่งที่มีอยู่ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เนื่องจากชาวอินเดียมีความเฉื่อยชาและยอมจำนนอยู่แล้ว คานธีจึงจัดตั้งจากความเฉื่อย เขาทำให้ความเฉื่อยมีเป้าหมาย เปรียบเสมือนคานธีบอกชาวอินเดียว่า “ในเมื่อก็นั่งกันเฉยๆ อยู่แล้ว แทนที่จะนั่งเฉยๆ ตรงนั้นทำไมไม่มานั่งตรงนี้และระหว่างที่นั่งเฉยๆ ก็พูดไปด้วยว่า “เอกราชเดี๋ยวนี้!”
- การสร้างความชอบธรรมเชิงศีลธรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกปฏิบัติการ จุดอ่อนของมาคิอาเวลลีคือการที่เขามองไม่เห็นความจำเป็นของการห่อหุ้มศีลธรรมให้การเมือง วรรคทองที่เขาบอกว่า “การเมืองไม่มีความเกี่ยวข้องกับศีลธรรม” คือจุดอ่อนที่สุดของเขา
- ทุกปฏิบัติการที่มีประสิทธิผลต้องมีพาสปอร์ตความดี ผู้ถูกกดขี่ต้องอ้างถึง “กฎที่สูงส่งกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น” เสมอ
- กฎข้อที่ 11 ของเป้าหมายกับวิธีการ เป้าหมายต้องแปรเป็นคำขวัญใหญ่ๆ เช่น “อิสรภาพเสมอภาคภราดรภาพ” “เพื่อความอยู่ดีกินดีถ้วนหน้า” “คืนความสุข” หรือ “ขนมปังและสันติภาพ”
- วอลท์ วิทแมนกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดที่เป้าหมายมีชื่อ ก็ยกเลิกมันไม่ได้” แต่ในระหว่างปฏิบัติการ มักมีเป้าหมายใหม่ที่ไม่ได้คาดหมายเกิดขึ้นเสมอ เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนำไปสู่การต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นต้น
- ประชาธิปไตยไม่ใช่เป้าหมาย เพราะเสียงข้างมากสามารถลงมติเลือกสิ่งที่ขัดกับคุณค่าที่เรายึดถือ เช่น หากเสียงข้างมากโหวตให้คนไม่เท่ากัน การละเมิดคุณค่าของความเท่าเทียมทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นโสเภณี ประชาธิปไตยเป็นแค่วิธีการทางการเมืองที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในการบรรลุถึงคุณค่าของเสรีภาพ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม สันติภาพ และสิทธิในการขัดขืน
ว่าด้วยคำบางคำ
- อำนาจเราไม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำบางคำด้วยการใช้คำอื่น การใช้คำอื่นคือการเปลี่ยนแปลงความหมายของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง มาร์ค ทเวนกล่าวไว้ว่า “ความแตกต่างระหว่างคำที่ถูกต้องกับคำที่เกือบถูกต้องก็คือความแตกต่างระหว่างสายฟ้ากับหิ่งห้อย”
- อำนาจ ไม่ใช่คำน่ารังเกียจ เช่นเดียวกับคำว่าผลประโยชน์ การประนีประนอม ฯลฯ การหน้าบางต่อคำเหล่านี้คือการเสียเวลาเปล่า
- อำนาจหมายถึง “ความสามารถที่จะลงมือกระทำ ทั้งในเชิงกายภาพ ความคิดหรือศีลธรรม”
- คนส่วนใหญ่มักอ้างถึงข้อความของลอร์ดแอคตันที่บอกว่า “อำนาจย่อมฉ้อฉลและอำนาจสมบูรณ์ย่อมฉ้อฉลอย่างสมบูรณ์” อันที่จริง ข้อความที่ถูกต้องคือ “อำนาจมักฉ้อฉลและอำนาจสมบูรณ์ย่อมฉ้อฉลอย่างสมบูรณ์”
- ความฉ้อฉลไม่ได้อยู่ในอำนาจ แต่อยู่ในตัวเรา
- การรู้จักอำนาจและไม่กลัวอำนาจคือหัวใจสำคัญของการใช้และควบคุมอย่างสร้างสรรค์
- ผลประโยชน์ส่วนตนเช่นเดียวกับอำนาจ มันไม่ใช่คำที่น่ารังเกียจ
- การประนีประนอม สำหรับนักจัดตั้ง การประนีประนอมคือคำที่งดงาม มันคือความเป็นจริงของภาคปฏิบัติ มันหมายถึงชัยชนะ ถ้าเราเริ่มจากศูนย์และเรียกร้อง 100 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นประนีประนอมมาได้ 30 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับเราคืบหน้าไปได้ตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์
- อีโก้คือความเชื่อมั่นในตัวเอง มันแตกต่างจากการหลงตัว อีโก้ของนักจัดตั้งเข้มแข็งและยิ่งใหญ่กว่าผู้นำ แรงขับดันของผู้นำคือความปรารถนาอำนาจ ส่วนแรงขับดันของนักจัดตั้งคือความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์
- ความขัดแย้ง ความขัดแย้งคือแกนหลักของสังคมเสรี
คุณสมบัติของนักจัดตั้งในอุดมคติ
- ความขี้สงสัยนักจัดตั้งเดินหน้าด้วยการตั้งคำถาม เขามองหาแบบแผนในความแตกต่างและมองหาความแตกต่างในแบบแผนที่คุ้นเคย เขานำคำถามว่า “ทำไม” มาสู่ผู้คน การตั้งคำถามคือการเริ่มต้นของการเป็นขบถ ในแง่นี้ โสกราติสคือนักจัดตั้ง
- ความไม่เลื่อมใสความขี้สงสัยกับความไม่เลื่อมใสย่อมเป็นของคู่กัน คนที่ชอบตั้งคำถามย่อมไม่เห็นว่าโลกนี้มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์
- จินตนาการ
- อารมณ์ขันชีวิตคือโศกนาฏกรรมและในมุมกลับมันคือความน่าขัน อารมณ์ขันคือกุญแจสำคัญของนักยุทธิวิธีที่ประสบความสำเร็จ เพราะอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดคือการเสียดสีและเยาะหยัน
- อารมณ์ขันช่วยรักษามุมมองที่ถูกต้องต่อตัวเราเอง นั่นคือ เราเป็นแค่ธุลีที่จะมอดมลายไปในพริบตา
- วิสัยทัศน์เบลอๆถึงโลกที่ดีกว่าเมื่อมองโดยภาพรวม นักจัดตั้งคือคนที่ก้มหน้าก้มตาวาดภาพใบไม้เล็กๆ บางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า “ฉันทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อวาดภาพใบไม้เล็กๆ ใบเดียวไปทำไม? บัดซบที่สุด เลิกดีกว่า” แต่สิ่งที่ผลักดันให้เขาทำต่อไปคือภาพเบลอๆ ของภาพป่าผืนใหญ่ที่นักจัดตั้งคนอื่นกำลังช่วยกันวาดขึ้นมา
- บุคลิกภาพแบบนักจัดตั้งนักจัดตั้งต้องจัดตั้งตัวเองได้ เขาต้องทำงานได้อย่างสบายในสถานการณ์ที่สับสน มีเหตุผลท่ามกลางความไร้เหตุผลที่โกลาหลอลหม่าน
- การผสานประเด็นหลากหลายเข้ามารวมกันคนแต่ละคนมีลำดับความสำคัญของปัญหาไม่เหมือนกัน การจัดตั้งจากประเด็นเดียวไม่สามารถสร้างฐานสมาชิกที่กว้างขวางได้ (ในแง่นี้อลินสกี้กำลังพูดถึงการจัดตั้งชุมชนซึ่งแตกต่างจากการจัดตั้งแบบอื่นเช่นการจัดตั้งสหภาพแรงงานเป็นต้น)
- ช่างสังเกตและไวต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวรวมทั้งฉกฉวยมาใช้เป็นประโยชน์ได้
- ต้องรู้จักแยกตัวตนออกจากกันนักจัดตั้งที่ดีต้องมีสองบุคลิกเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นพวกคลั่งลัทธิ ก่อนที่มนุษย์จะสามารถปฏิบัติการในประเด็นอะไรก็ตาม ประเด็นนั้นต้องถูกแบ่งเป็นขั้ว มนุษย์สามารถปฏิบัติการได้ต่อเมื่อมั่นใจว่าเป้าหมายของตนดี 100% และเป้าหมายของอีกฝ่ายชั่ว 100% ปฏิบัติการใด ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้จนกว่าประเด็นนั้นจะถูกแบ่งขั้วถึงจุดนี้ นักจัดตั้งต้องสามารถแบ่งตัวตนออกเป็นสองส่วน ตัวตนหนึ่งอยู่บนเวทีปฏิบัติการที่เขาผลักประเด็นจนสุดขั้ว 100% ในขณะที่ตัวตนอีกส่วนหนึ่งรู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาเจรจาต่อรอง ความแตกต่างระหว่างสองขั้วก็แค่ 10% เท่านั้น และทั้งสองฝ่ายต้องสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ฆ่ากัน มีแต่นักจัดตั้งที่มีบุคลิกภาพแบบนักจัดตั้งเท่านั้นจึงสามารถแบ่งแยกตัวตนออกและยังรักษาสมดุลของตัวเองไว้ได้
- อีโก้ความเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อว่าตัวเองทำได้ ชีวิตคือปฏิบัติการ
- ความคิดจิตใจเสรีและเปิดกว้างรวมทั้งเข้าใจลักษณะสัมพัทธ์ทางการเมืองนักจัดตั้งต้องเป็นคนยืดหยุ่น ไม่ใช่คนยอมหักไม่ยอมงอ พร้อมรับความไม่แน่นอน เข้าใจว่าคุณค่าทุกอย่างมีลักษณะสัมพัทธ์ โดยเฉพาะในโลกของการเมือง
- สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาจากสิ่งเก่านี่คือข้อแตกต่างระหว่างนักจัดตั้งกับผู้นำ ผู้นำสั่งสมอำนาจเพื่อตอบสนองความปรารถนา ยึดกุมและใช้อำนาจเพื่อเป้าประสงค์ทั้งส่วนรวมและส่วนตัว ผู้นำต้องการอำนาจเพื่อตัวเอง ส่วนนักจัดตั้งมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์อำนาจเพื่อให้ผู้อื่นใช้
การสื่อสาร
- นักจัดตั้งที่ประสบความสำเร็จอาจขาดคุณสมบัติประการใดประการหนึ่งข้างบนได้ ยกเว้นประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ ศิลปะของการสื่อสาร
- คนทั่วไปเข้าใจอะไรได้จากมุมมองของประสบการณ์ที่พวกเขามีอยู่ ดังนั้น นักจัดตั้งต้องมีความคุ้นเคยกับประสบการณ์ของผู้คนที่เขาจะสื่อสารด้วย
- ถ้านักจัดตั้งจำเป็นต้องสื่อสารอะไรบางอย่างและไม่สามารถหาจุดร่วมในประสบการณ์ของผู้รับสาร สิ่งที่นักจัดตั้งต้องทำก็คือจำลองประสบการณ์ขึ้นมาให้ผู้รับสารประสบ
- เมื่อต้องการโน้มน้าวหรือเจรจาต่อรอง อย่าก้าวออกไปนอกประสบการณ์จริงของอีกฝ่าย อย่าสื่อสารด้วยข้อมูล เหตุผลหรือจริยธรรมล้วน ๆ แต่สื่อสารถึงเป้าหมายและผลประโยชน์ของอีกฝ่าย
- ยกตัวอย่างเช่น หากนักกิจกรรมชนชั้นกลางพยายามสื่อสารให้คนจนฟังว่าค่านิยมในระบบทุนนิยม เช่น การมีรถ มีบ้าน มีเงินในธนาคาร ฯลฯ ไม่ทำให้คนเรามีความสุขอย่างแท้จริง คนจนจะตอบว่ารอให้พวกเขามีประสบการณ์พวกนั้นก่อน แล้วค่อยบอกว่ามีความสุขหรือเปล่า
- คนเรามักเต็มใจรับฟังเมื่อตัวเองวิตกหรือถูกคุกคาม
- การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือเมื่อผู้รับสารตัดสินใจด้วยตัวเองหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจ
- นักจัดตั้งควรสื่อสารด้วยการตั้งคำถามมากกว่าให้คำตอบ ตั้งคำถามจนได้มาซึ่งคำตอบที่พอใจ
- นี่เป็นการปั่นหัว/ชักใยหรือไม่? ใช่ เหมือนดังที่โสกราติสปั่นหัว/ชักใยลูกศิษย์ เมื่อเวลาผ่านไป นักจัดตั้งจะค่อยๆ ถอนตัวจากแกนนำในการตัดสินใจ เมื่อไรที่เขาถอนตัวได้สำเร็จ เมื่อไรที่กลุ่มเลิกพึ่งพิงเขา งานของนักจัดตั้งก็สำเร็จเรียบร้อย
- ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อนักจัดตั้งจะเป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งชังเสมอ ประชาชนเชื่อมั่นในตัวนักจัดตั้ง เชื่อมั่นว่าเขารู้ยุทธวิธีที่ถูกต้อง แต่เมื่อไรที่นักจัดตั้งเริ่มออกคำสั่งและ “อธิบาย” ประชาชนจะเริ่มสั่งสมความรู้สึกชิงชังเขาในจิตใต้สำนึก เพราะประชาชนจะรู้สึกว่านักจัดตั้งไม่เคารพศักดิ์ศรีของพวกเขา นักจัดตั้งต้องเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ว่า ผู้ขอความช่วยเหลือและได้รับความช่วยเหลือย่อมเกิดปฏิกิริยาในจิตใต้สำนึก เขาทั้งสำนึกตื้นตันและชิงชังต่อผู้ที่ช่วยเหลือเขาเสมอ
- การสื่อสารในบางประเด็นมีความละเอียดอ่อน มันจะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่เหนียวแน่นขึ้นมาแล้วเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการสื่อสารเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการทำแท้งต่อผู้คนที่เคร่งศาสนาเป็นต้น
การเริ่มต้น
- นักจัดตั้งต้องมีตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีเหตุผลที่ประชาชนยอมรับว่าเขาควรไปอยู่ที่นั่น
- เหตุผลนั้นต้องมีรูปธรรมที่จับต้องได้
- การยอมรับจะเกิดขึ้นเมื่อทำให้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า 1) นักจัดตั้งอยู่ฝ่ายพวกเขา 2) นักจัดตั้งมีแนวคิดและรู้วิธีต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลง
- หน้าที่ของนักจัดตั้งคือการหลอกล่อให้ผู้มีอำนาจเชื่อว่าเขาคือ “ตัวอันตราย”
- หน้าที่ของนักจัดตั้งคือการยั่ว การยุ การทำให้ประชาชนเกิดความหวังและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง
- นักจัดตั้งต้องไม่เข้าไปในชุมชนเอง เขาต้องได้รับเชิญเข้าไปหรือทำให้ตัวเองถูกเชิญเข้าไป
- อย่าวาดภาพคนจนหรือคนไร้อำนาจให้สวยงามเกินไป
- ประชาชนมักไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
- ถ้านักจัดตั้งไปจี้หรือไปชี้ว่าประชาชนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขาจะเกลียดคุณ
- หัวใจของเรื่องนี้ก็คือถ้าประชาชนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง ประชาชนก็จะไม่ครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อไรที่ประชาชนมีการจัดตั้งเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงประชาชนจะเริ่มคิดและแสวงหาวิธีการเปลี่ยนแปลง
- เมื่อประชาชนมีการจัดตั้งแล้วคุณจะเกิดความเชื่อมั่นในประชาชน
- การแก้ไขปัญหาหนึ่งย่อมนำมาซึ่งอีกปัญหาหนึ่ง นักจัดตั้งอาจรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาจะไม่เอ่ยถึงมัน
- นักจัดตั้งพึงรู้ว่า สิ่งที่เราต่อสู้จะเป็นจะตายในวันนี้ อีกไม่นานก็จะถูกลืมไป สภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปย่อมทำให้ความต้องการและประเด็นปัญหาเปลี่ยนไปด้วย
- ในช่วงเริ่มต้น นักจัดตั้งต้องอยู่แถวหน้าคอยรับความเสี่ยง หากมีอะไรผิดพลาด มันเป็นความผิดของเขาคนเดียว เขาต้องรับผิดชอบ หากมันประสบความสำเร็จ เครดิตทั้งหมดล้วนเป็นของประชาชน
- ในแง่นี้นักจัดตั้งจึงเปรียบเสมือนถังบำบัดของเสียเขาคือผู้รองรับขี้ทั้งหมด
- เมื่ออำนาจของขบวนการประชาชนเพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงก็ลดลง ประชาชนจะค่อยๆ ก้าวออกมารับความเสี่ยงเอง
- อุปสรรคสำคัญที่สุดในช่วงแรกของการจัดตั้งก็คือการอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ทุกคนล้วนมีเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงทำหรือไม่ทำอะไร ทันทีที่นักจัดตั้งเข้าไปในชุมชน ประชาชนจะหาเหตุผลมาอ้างทันทีว่าทำไมพวกเขาถึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้และต้องรอจนนักจัดตั้งโผล่เข้ามา มันเป็นความรู้สึกในจิตใต้สำนึกว่า นักจัดตั้งคงดูถูกพวกเขา จากความรู้สึกนี้ พวกเขาจะหาข้ออ้างร้อยแปดมาคัดค้านการจัดตั้ง ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง มันแค่เป็นการพยายามแก้ตัวว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เคลื่อนไหวหรือจัดตั้งมาก่อนหน้านี้ นักจัดตั้งจะต้องไม่ไล่ตามข้ออ้างเหล่านี้ ไม่ติดกับมันและไม่มองว่ามันเป็นปัญหาที่แท้จริง
- นักจัดตั้งต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือการอ้างเหตุผลแก้ตัวปฏิบัติต่อมันในฐานะที่เป็นแค่เหตุผลแก้ตัวและทะลวงผ่านมันไปให้ได้อย่าทำสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์นั่นคืออย่าปล่อยให้ตัวเองติดกับกับการอ้างเหตุผลเหล่านั้นอย่าคิดว่ามันเป็นประเด็นหรือปัญหาที่คุณต้องพยายามจัดตั้งประชาชนมาแก้ไข
กระบวนการสู่อำนาจ
- ความเปลี่ยนแปลงมาจากอำนาจและอำนาจมาจากการจัดตั้ง
- หน้าที่ของนักจัดตั้งคือการสร้างความเชื่อมั่นและความหวังของประชาชนที่มีต่อการจัดตั้งและต่อตัวประชาชนเอง
- วิธีการหนึ่งในช่วงเริ่มต้นคือการสร้างแคมเปญรณรงค์ในประเด็นเล็ก ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะชนะแน่นอน
- หมู่บ้าน สลัม หรือชุมชน ไม่ใช่ชุมนุมชนที่ไม่มีการจัดตั้ง เพียงแต่มันเป็นการจัดตั้งอีกรูปแบบหนึ่ง มันอาจเป็นการจัดตั้งในเชิงลบที่ทำให้คนสิ้นหวังจนไม่ลงมือทำอะไร
- ก้าวแรกในการจัดตั้งชุมชนคือสลายการจัดตั้งดั้งเดิมของชุมชนก่อนเพื่อแทนที่ด้วยการจัดตั้งแบบแผนใหม่
- เพราะฉะนั้น นักจัดตั้งย่อมเผชิญหน้ากับความขัดแย้งเสมอ นักจัดตั้งต้องกระตุ้นความไม่พอใจของผู้คนขึ้นมา พร้อมกับเสนอช่องทางใหม่ให้ประชาชนได้ระบายความอึดอัดคับข้อง นักจัดตั้งต้องสร้างกลไกเพื่อระบายความรู้สึกผิดในส่วนลึกของประชาชนที่พวกเขายอมจำนนต่อสภาพการณ์เดิม ๆ มานมนาน จากกลไกนี้ การจัดตั้งชุมชนใหม่จะเกิดขึ้น
- ดังนั้น การนิยามนักจัดตั้งว่าเป็น “นักปลุกปั่น” “ตัวก่อปัญหา” “ตัวแสบ” จึงเป็นคำนิยามที่ถูกต้อง
- การจัดตั้งต้องวางพื้นฐานบนประเด็นปัญหาหลากหลาย การจัดตั้งต้องการการปฏิบัติการเฉกเช่นมนุษย์ต้องการออกซิเจน หากปราศจากปฏิบัติการ การจัดตั้งย่อมถึงแก่ความตายทันที
- การจัดตั้งบนพื้นฐานประเด็นเดียวเปรียบเสมือนเสื้อรัดคนบ้า
- การจัดตั้งบนพื้นฐานประเด็นหลากหลายจะช่วยดึงดูดสมาชิกที่หลากหลายเข้ามา
- เพื่อป้องกันความสับสน นักจัดตั้งต้องยึดกุมเข็มทิศสำคัญไว้ เข็มทิศนั้นก็คือ “ศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล” ถ้าคุณเคารพศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคลที่คุณทำงานด้วย คุณก็จะเคารพความปรารถนาของเขา ไม่ใช่ของคุณ คุณค่าและความเชื่อของเขา ไม่ใช่ของคุณ วิธีการทำงานและต่อสู้ของเขา ไม่ใช่ของคุณ การเลือกผู้นำของเขา ไม่ใช่ของคุณ โครงการของเขา ไม่ใช่ของคุณ ยกเว้นกรณีเดียวคือ หากโครงการหรือเป้าหมายของเขาละเมิดต่อคุณค่าของสังคมเสรีและเปิดกว้างเท่านั้น
- ยกตัวอย่างเช่น ลองตั้งคำถามว่า “ถ้าโครงการของชาวบ้านที่นี่ละเมิดสิทธิของคนกลุ่มอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลของสีผิว ศาสนา สถานะทางเศรษฐกิจหรือการเมือง เราควรยอมรับโครงการนี้เพราะมันเป็นโครงการของชาวบ้านหรือไม่?” คำตอบคือ ไม่เด็ดขาด จำไว้เสมอว่าเข็มทิศคือ “ศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล”
- การให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน โดยไม่ยอมให้เขามีส่วนร่วมสำคัญในปฏิบัติการ มันไม่ใช่การให้ แต่เป็นการเอาไป มันคือการปล้นศักดิ์ศรีของเขาไป
ยุทธวิธี
- ยุทธวิธีหมายถึง ทำในสิ่งที่ทำได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่
- องค์ประกอบพื้นฐานของยุทธวิธีเปรียบเสมือนองคาพยพบนใบหน้า ตา หู จมูก
- ตา ถ้าเรามีมวลชนมาก เราสามารถนำพามวลชนเดินพาเหรดให้ศัตรูเห็นและแสดงอำนาจของเรา
- หู ถ้าเรามีมวลชนน้อย เราควรซ่อนจำนวนไว้ในเงามืด แต่ส่งเสียงเอะอะอึกทึกให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเรามีจำนวนมาก
- จมูก ถ้ามวลชนของเราน้อยจนส่งเสียงไม่ได้ เราสามารถป้ายสีให้สถานที่ของศัตรูเน่าเหม็น(ทั้งในเชิงนามธรรมและรูปธรรม)
- กฎข้อที่หนึ่งอำนาจไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณมีแต่คือสิ่งที่ศัตรูคิดว่าคุณมี
- กฎข้อที่สองจงอย่าก้าวออกนอกประสบการณ์ของประชาชนเด็ดขาด ถ้าปฏิบัติการหรือยุทธวิธีนั้นอยู่นอกเหนือประสบการณ์ของประชาชน ผลจะลงเอยกลายเป็นความสับสน หวาดกลัวและถอยหนี มันหมายถึงการสื่อสารที่ล้มเหลวด้วย
- กฎข้อที่สามเมื่อไรที่ทำได้จงก้าวออกนอกประสบการณ์ของศัตรูทำให้พวกเขาสับสน หวาดกลัวและถอยหนี
- กฎข้อที่สี่จงบีบให้ศัตรูจำใจทำตามกติกาที่พวกนั้นตั้งขึ้นมาเองเราฆ่าพวกเขาได้ด้วยวิธีนี้ เพราะศัตรูย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามกฎกติกาของตัวเอง เช่นเดียวกับศาสนจักรไม่มีทางปฏิบัติตามหลักความเชื่อทางศาสนาของตน
- กฎข้อที่ห้าการหัวเราะเยาะเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของมนุษย์มันเป็นอาวุธที่ไม่มีทางตอบโต้ มันทำให้ศัตรูโกรธเกรี้ยวและแสดงปฏิกิริยาที่ทำให้เราได้เปรียบ
- กฎข้อที่หกยุทธวิธีที่ดีคือยุทธวิธีที่ประชาชนของคุณชอบถ้าประชาชนไม่สนุกกับมัน ยุทธวิธีนั้นต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว
- กฎข้อที่เจ็ดยุทธวิธีที่ยืดเยื้อเกินไปย่อมกลายเป็นตัวถ่วงยุทธวิธีที่ยาวนานซ้ำซากจะกลายเป็นแค่พิธีกรรมเหมือนการไปวัด
- กฎข้อที่แปดรักษาแรงกดดันต่อไปด้วยยุทธวิธีและปฏิบัติการใหม่ ๆ และฉกฉวยประโยชน์จากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- กฎข้อที่เก้าคำข่มขู่มักน่ากลัวกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
- กฎข้อที่สิบหลักสำคัญของยุทธวิธีก็คือการผลักดันปฏิบัติการที่รักษาแรงกดดันต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
- กฎข้อที่สิบเอ็ดในแง่ลบย่อมมีแง่บวกถ้าเรากดดันมากพอปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามอาจกลายเป็นผลดีต่อเรา
- กฎข้อที่สิบสองความสำเร็จของการโจมตีอยู่ที่การมีข้อเสนอทางออกที่สร้างสรรค์ถ้าคุณไม่มีข้อเสนอหนทางแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ศัตรูจะทำแต้มชนะคุณ
- กฎข้อที่สิบสามจงเลือกเป้าแช่แข็งมันโจมตีที่ตัวบุคคลและผลักให้สุดขั้วพยายามตัดเครือข่ายสนับสนุนของศัตรู แยกเป้าออกมาไม่ให้คนเห็นใจ โจมตีที่ตัวบุคคล ไม่ใช่ที่สถาบันนามธรรม โดยเฉพาะในสังคมซับซ้อน คนมักจะโยนความผิดไปที่อื่นได้ง่าย เราจึงต้องแช่แข็งประเด็นไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งให้ได้ ถ้าเป้าของคุณคือคนสำคัญจริง ๆ คนอื่น ๆ จะโผล่หน้าออกมาเอง
- ปฏิบัติการที่แท้จริงอยู่ในปฏิกิริยาของศัตรู
- ศัตรูที่ถูกปั่นหัวและมีปฏิกิริยาตามที่คุณต้องการนั่นคือความเข้มแข็งที่สุดของคุณ
- ยุทธวิธีก็เช่นเดียวกับการจัดตั้งและชีวิตมันต้องการการเคลื่อนไหวด้วยปฏิบัติการ
- ตัวอย่างของการใช้กฎสิบสามข้อข้างบน เช่น ในการประท้วงที่โรเชสเตอร์ อลินสกี้ “ขู่” ว่าจะประท้วงด้วยการพาคนผิวดำเข้าไปในคอนเสิร์ตซิมโฟนี ผู้ประท้วงจะกินถั่วต้มล่วงหน้าจำนวนมากเพื่อจะเข้าไปตดในงาน การประท้วงแบบนี้อยู่นอกเหนือประสบการณ์ของคนขาวฝ่ายตรงข้าม พวกเขาเคยชินกับการประท้วงด้วยการเดินขบวน การยื่นหนังสือ ฯลฯ พวกเขาไม่เคยนึกฝันถึงการประท้วงด้วยตดมาก่อน การประท้วงแบบนี้เข้ากันได้ดีกับประสบการณ์ของสามัญชน ประชาชนชอบมัน มันสร้างเสียงหัวเราะ ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาข้อกฎหมายมาห้ามการตดในที่คอนเสิร์ตได้ การขู่ว่าจะประท้วงแบบนี้น่ากลัวกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง (แต่หากนำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่แน่ว่าคนผิวดำจะรู้สึกสนุกกับมัน)
- อีกตัวอย่างของการทำในสิ่งที่ทำได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ ในมหาวิทยาลัยที่อนุรักษ์นิยมและเคร่งศาสนามากแห่งหนึ่ง นักศึกษามาปรึกษาอลินสกี้ว่าพวกเขาถูกสั่งห้ามกิจกรรมรื่นเริงใด ๆ ไม่ว่าเต้นรำ สูบบุหรี่หรือดื่มเบียร์ อลินสกี้จึงถามว่านักศึกษาได้รับอนุญาตให้ทำอะไรได้บ้าง พวกเขาตอบว่าเคี้ยวหมากฝรั่ง อลินสกี้จึงแนะนำให้ใช้หมากฝรั่งเป็นอาวุธ จัดตั้งนักศึกษาสักสองสามร้อยคน แต่ละคนนำมาหมากฝรั่งมาคนละสองห่อ เคี้ยวแล้วทิ้งไว้ตามทางเดิน นักศึกษานำยุทธวิธีนี้ไปใช้จริง ๆ จนมหาวิทยาลัยต้องยอมต่อรองให้นักศึกษาทำอะไรก็ได้ แต่เลิกเคี้ยวหมากฝรั่ง
- การขู่เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพก็จริง แต่มันจะได้ผลต่อเมื่อเรามีการจัดตั้งจริง ๆ ที่ฝ่ายมีอำนาจรับรู้เท่านั้น การบลัฟฟ์ไม่มีประโยชน์ ถ้าถูกจับได้ครั้งเดียว หลังจากนี้ก็จะใช้การขู่ไม่ได้อีกเลย
- ในการขู่นั้น เราไม่จำเป็นต้องประกาศออกสื่อ เราสามารถใช้สายของตำรวจที่แฝงอยู่ในองค์กรของเราให้เป็นประโยชน์ ปล่อยให้สายพวกนี้รายงานกลับไป
- พยายามใช้การแข่งขันและการชิงดีชิงเด่นในกลุ่มผู้มีอำนาจให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเรา เช่น ถ้าเราจะประท้วงนโยบายบางอย่างของห้างสรรพสินค้า อย่าบอยคอตต์ทุกห้าง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เลือกบอยคอตต์บางห้าง เพื่อให้คนไปใช้บริการอีกห้างหนึ่ง แล้วห้างที่ถูกบอยคอตต์จะยอมเจรจากับเรา แล้วเมื่อห้างนี้เปลี่ยนนโยบาย ห้างอื่นๆ จะต้องยอมเปลี่ยนตาม