สี่บทบาทในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
โดย บิลล์ โมเยอร์ส
(https://commonslibrary.org/the-four-roles-of-social…/)
CITIZEN
พลเมือง หรือ ผู้ช่วยเหลือ (helper)
คนที่เห็นความเดือดร้อนของคนอื่นและพยายามเข้าไปช่วยเหลือด้วยทรัพยากรที่ตนมี เช่น ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัย แบ่งปันอาหารน้ำดื่ม เปิดบ้านให้อยู่ ช่วยบำบัดเยียวยา เลี้ยงอาหารคนยากไร้ เป็นต้น
จุดแข็ง
- เก่งในการเชื่อมคนเข้าด้วยกัน และพยายามช่วยเหลือทุกคนเท่าที่จะทำได้ คนกลุ่มนี้สำคัญมากในการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ทุกข์ยาก
- ส่งเสริมคุณค่าด้านบวก เช่น ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความยุติธรรม
- มีเกราะป้องกันการโจมตีจากพวกสุดโต่ง
จุดอ่อน
- ไร้เดียงสา (Naive) ไม่รู้ว่าผู้กุมอำนาจและสถาบันทั้งหลายกระทำการเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำ
- รักชาติยิ่งชีพ (Super-patriot) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ เชื่อฟังรัฐ เชื่อในคุณค่าความดีงาม
- บางครั้งไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงระบบหรือโครงสร้าง ทำงานแบบแยกส่วน อาจดีต่อปัจเจกแต่ไม่ได้แก้ระบบที่กดขี่อยู่ จมกับหน้างานตัวเอง บางครั้งการมุ่งลงไปช่วยเหลือทำให้เกิดวัฏจักรของการพึ่งพา
REFORMER
นักปฏิรูป หรือผู้สนับสนุนนโยบาย (advocacy)
คนที่เห็นความจำเป็นของระบบและทำงานในระบบทั้งที่รู้ว่าระบบไม่ยุติธรรม เพราะเชื่อว่าตนจะช่วยปรับทิศทางของระบบนั้นได้ เช่น นักสังคมสงเคราะห์ นักกฎหมาย ใช้ความรู้เรื่องระบบของตนให้เป็นประโยชน์
จุดแข็ง
- มีความรู้เกี่ยวกับนโยบายหรือเชี่ยวชาญในงานบริการสังคม อยู่ในสถานะที่จะเปลี่ยนระบบหรือจินตนาการทางเลือกออกจากระบบที่เป็นอยู่
- มีความสามารถในการใช้ช่องทางทางการเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ล็อบบี้ ดำเนินการทางกฎหมาย เป็นต้น
จุดอ่อน
- ด้วยความคุ้นเคยว่าระบบทำงานอย่างไรจึงมักแนะนำให้คนอื่นยอมรับระบบอย่างที่มันเป็นและปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก แทนที่จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของตนมาสร้างสรรค์การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระยะยาวมากกว่า
- พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้คนมีวิสัยทัศน์ไกลๆ ไม่สนับสนุนการเปลี่ยนกระบวนทัศน์
- ยึดโยงกับผู้มีอำนาจมากกว่าประชาชน เปลี่ยนจุดยืนกลายเป็นตัวแทนรัฐมาเจรจากับพี่น้อง หรือกลายเป็นตราประทับให้ฝ่ายผู้มีอำนาจ
- ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างแบบมีลำดับชั้นและปิตาธิปไตย
CHANGE AGENT
นักจัดตั้ง (Organizer)
คนที่ทำงานจัดตั้งและรวมกลุ่มคนเพื่อเพิ่มอำนาจในการเปลี่ยนแปลงระบบที่ทำร้ายกดขี่ผู้คน รวมกลุ่มคนเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบที่ไม่ยุติธรรมนั้น
จุดแข็ง
- เห็นภาพรวม รากเหง้าของปัญหา มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความสามารถที่จะรวมคนและเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้บอกเล่าเรื่องราวของตนเอง
- เพิ่มอำนาจประชาชน จัดการศึกษา ทำงานจัดตั้งมวลชนรากหญ้า
- ใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อเคลื่อนไหวระยะยาว สนับสนุนทางเลือกและการเปลี่ยนกระบวนทัศน์
จุดอ่อน
- มักวิพากษ์วิจารณ์พลเมืองและนักปฏิรูปที่เข้าไปช่วยระบบที่มีปัญหามากกว่าจะเปลี่ยนมัน บางครั้งก็ออกมานำเองแทนที่จะเสริมพลังอำนาจให้คนที่ได้รับผลกระทบออกมานำด้วยตัวเอง
- ยึดคัมภีร์ (Dogmatic) เชื่อว่ามีวิธีการเดียวที่จะไปถึง
- ชอบวางแผนจนไม่ทันการณ์
- อุดมคติแบบเพ้อฝัน (Utopian) มีภาพฝันสมบูรณ์แบบแต่ไม่เชื่อมโยงกับความต้องการของขบวน
- ปลีกตัวไปใช้ชีวิตทางเลือกอย่างสันโดษ ตั้งตนเป็นศาสดา พูดแทนเจ้าของปัญหา
REBEL
ขบถ
คนที่ใช้ปฏิบัติการทางตรงเพื่อป่าวประกาศความจริงอย่างมีพลังและความเชื่อมั่น เช่น ผู้ประท้วง เดินขบวน ดื้อแพ่ง ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้า ฯลฯ
จุดแข็ง
- ทำให้การเคลื่อนไหวมีพลังและแบกรับความเสี่ยงทั้งหลายไว้ด้วยการอุทิศตนอย่างใหญ่หลวง
- ชี้ให้เห็นปัญหาที่คนอื่นมองไม่เห็น ชูประเด็นปัญหาให้อยู่ในสายตาสาธารณชน
- ต่อต้านการละเมิดคุณค่าด้านบวก
จุดอ่อน
- นิยามตัวเองเป็นคนชายขอบ ยึดอัตลักษณ์ความเป็นชายขอบมากเกินไป
- ขาลุย ใช้กลยุทธ์โดยปราศจากยุทธศาสตร์ที่เป็นจริง บางครั้งอ้างว่าจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงและทำลายทรัพย์สิน
- มองว่าตัวเองถูกเสมอ และมองว่าคนอื่นไม่ก้าวหน้าพอหรือมีศีลธรรมน้อยกว่า บางทีก็กีดกันความคิดคนอื่นแทนที่จะส่งเสริม
- การกระทำขับดันมาจากอารมณ์ด้านลบ ความโกรธ สิ้นหวังและความรู้สึกไร้อำนาจ
- ปฏิเสธการจัดตั้ง ต่อต้านกฎระเบียบ
ทั้ง 4 บทบาทต่างมีพลังขับเคลื่อนขบวนการเคลื่อนไหวในแต่ละจังหวะก้าว จาก 8 ขั้นตอนของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (MAP) จะพบบทบาทที่โดดเด่นในแต่ละขั้น
ในสภาวะปกติ (ขั้น 1) พลเมืองและนักจัดตั้งจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหา
เมื่อผู้คนเริ่มเห็นถึงความล้มเหลวของระบบที่เป็นอยู่ (ขั้น 2) นักปฏิรูปและพลเมืองจะมีบทบาทในการเปิดแผลของระบบ ไม่ว่าจะทำวิจัย ฟ้องร้อง ยื่นหนังสือ ตั้งกระทู้ยื่นญัตติ เผยแพร่ความล้มเหลวของสถาบันทางการ
จนเมื่อสถานการณ์เริ่มสุกงอม คนจำนวนมากเข้าร่วมเคลื่อนไหว (ขั้น 3) พลเมือง นักปฏิรูป และขบถจะมีบทบาทโดดเด่นในการปฏิบัติการเคลื่อนไหว จัดการศึกษา เชื่อมร้อยเครือข่าย ทำให้ผู้คนเห็นเหยื่อของระบบมากขึ้น
พอถึงจุดแตกหักที่ประชาชนไม่พอใจระบบโครงสร้างที่เป็นอยู่ การเคลื่อนไหวก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว คนจำนวนมากเข้าร่วมขบวน บรรดาผู้มีอำนาจพยายามดิสเครดิตขบวนการ (ขั้น 4) บทบาทของขบถจะโดดเด่นในขั้นนี้ ในการจัดชุมนุมประท้วง เดินขบวน ดื้อแพ่ง ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้า ประสานขบวนการระดับรากหญ้า เชื่อมโยงข้อเรียกร้องของขบวนเข้ากับคุณค่าที่สังคมยอมรับ
ในขั้นนี้มักคาดกันว่าขบวนการจะประสบความสำเร็จแต่พอไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนเข้าร่วมน้อยลง หลายคนคิดว่าล้มเหลว สิ้นหวัง (ขั้น 5) พลเมืองกับขบถจะมีบทบาทในการจินตภาพการเคลื่อนไหวที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาใหม่และซอยเป้าหมายให้เล็กลง
พอการประท้วงขยับไปสู่การต่อสู้ระยะยาวที่มุ่งเอาชนะใจคนส่วนใหญ่ (ขั้น 6) บทบาทนักจัดตั้งจะเด่นชัดในช่วงนี้ในการแสวงหาแนวร่วมอย่างกว้างขวาง รักษาประเด็นและข้อเสนอให้อยู่ในวาระสังคม
เมื่อการเคลื่อนไหวยกระดับไปสู่การแสวงหาทางเลือกต่างๆ (ขั้น 7) นักจัดตั้งและนักปฏิรูปจะมีบทบาทในการทำงานเปลี่ยนกระบวนทัศน์และสร้างทางเลือก จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (ขั้น 8) บทบาทนักปฏิรูปจะโดดเด่นในการติดตามขยายผลและหนุนเสริมประเด็นอื่นๆ
(อ่านเพิ่มเติม 8 ขั้นตอนของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่นี่)